วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

การเรียนรู้แบบร่วมมือ


การเรียนรู้แบบร่วมมือ

          ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับการยืนยันจากการวิจัยทั้งการศึกษาวิจัยในห้องทดลอง และในภาคสนาม การศึกษาสหสัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือได้ผลในห้องเรียนจริง ๆ Johnson and Johnson (1994) สรุปว่าการวิจัยเชิงสาธิตแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) การประเมินผลรวม ได้ผลว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ 2) การประเมินผลรวมเชิงเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุปว่ากระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือดีกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบอื่น ๆ 3) การประเมินผลระหว่างเรียนให้ผลที่ จุดมุ่งหมายที่การพัฒนาการการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 4) การศึกษาผลกระทบของการเรียนรู้แบบ ร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน การเรียนรู้แบบร่วมมืออาจใช้ได้ดีกับทุกระดับชั้น ทุกเนื้อหาวิชา และทุกงาน(ภาระงาน) ด้วยความมั่นใจ ความร่วมมือเป็นความพยายามของมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ต่าง ๆ ทาง การศึกษา ผลลัพธ์นี้ Johnson and Johnson (1989) สรุปได้เป็น 3 ประเภท คือ ความพยายามที่จะบรรลุ ผลสัมฤทธิ์ สัมพันธภาพทางบวกระหว่างบุคคล และสุขภาพจิต ดังภาพประกอบที่ 4
ภาพประกอบที่ 4 ผลลัพธ์ของการร่วมมือ
ที่มา Johnson and Johnson (1994 the new circles of learning cooperation in the classroom and schoolมานพ ธรรมสาร ผู้แปล กรมวิชาการ 2546 : 32)

ทักษะแห่งความร่วมมือ
          Johnson and Johnson (1991, 1994) กล่าวว่า ทักษะระหว่างบุคคลหลายทักษะส่งผลต่อความสำเร็จ ในความพยายามร่วมมือกัน ทักษะแห่งความร่วมมือมี 4 ระดับ คือ
             1. ระดับสร้างนิสัย (forming) ทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ให้ทำหน้าที่ได้ เป็นทักษะเริ่มแรกของทักษะที่มุ่งการจัดการเรียนรู้และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ พฤติกรรมที่ สำคัญบางประการเกี่ยวกับทักษะระดับสร้างนิสัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
             เคลื่อนไหวในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน เวลาการทำงานกลุ่มเป็น สิ่งมีค่า จึงควรใช้เวลาในการจัดโต๊ะเก้าอี้และจัดกลุ่มการเรียนให้น้อยที่สุดตามความจำเป็น นักเรียนอาจ จำเป็นต้องฝึกการจัดกลุ่มหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
             อยู่ประจำกลุ่ม นักเรียนที่เดินไปเดินมาในช่วงที่กลุ่มทำงานไม่ก่อให้เกิดผลดี และยังรบกวน สมาธิของสมาชิกกลุ่มอื่นด้วย
             พูดเบา ๆ แม้ว่ากลุ่มการเรียนรู้ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดัง เกินไป ครูอาจมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้คอยกำกับคนอื่นให้พูดเบาๆ
กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม สมาชิกกลุ่มทุกคนต้องร่วมกันคิดร่วมกันใช้สื่อการเรียน และมีส่วน ในความพยายามให้กลุ่มบรรลุผล การให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนทุก คนในกลุ่มมีส่วนร่วม
             2. ระดับสร้างบทบาท (function) ทักษะที่จำเป็นต่อการจัดกิจกรรมกลุ่ม เพื่อทำงานให้สำเร็จ และรักษาสัมพันธภาพในการทำงานที่มีประสิทธิผลในหมู่สมาชิกกลุ่ม ทักษะระดับที่สองนี้เน้นที่การจัดการ ความพยายามของกลุ่มเพื่อทำงานให้สำเร็จและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีประสิทธิผล การทำให้ สมาชิกกลุ่มจดจ่ออยู่กับการทำงาน การหาวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการสร้าง บรรยากาศการทำงานที่น่าพึงพอใจและเป็นมิตรนั้น ถือว่าเป็นการผสมผสานอันสำคัญที่จะนำไปสู่กลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิผล ตัวอย่างทักษะระดับสร้างบทบาท
             แนะแนวทางการทำงานของกลุ่ม โดย (1) แจ้งและความมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมาย (2) เตือนให้ใช้เวลาตามที่กำหนดไว้ และ(3) เสนอขั้นตอนว่าจะทำงานอย่างไรให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิผล ที่สุด
             แสดงออกถึงการสนับสนุนและการยอมรับ ทั้งการใช้คำพูดและการแสดงท่าทาง โดยใช้การ มองสบตา แสดงความสนใจ ชมเชยแสวงหาความคิด และข้อสรุปของผู้อื่น
             ขอความช่วยเหลือหรือความชัดเจนในสิ่งที่พูดหรือทำในกลุ่ม
             เสนอให้คําอธิบายหรือชี้แจง
             แปลความหมายข้อเสนอของสมาชิกอื่น
             เสริมพลังให้กลุ่มเมื่อเห็นว่าแรงจูงใจลดลง โดยเสนอแนะความคิดใหม่ ใช้อารมณ์ขัน หรือ แสดงความกระตือรือร้น
             บรรยายความรู้สึกของตนเมื่อมีโอกาสเหมาะ
             3. ระดับสร้างระบบ (formulating) เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้าใจระดับลึกใน เนื้อหาวิชาที่เรียน เพื่อส่งเสริมให้ใช้กลยุทธ์การใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูง และเพิ่มความเชี่ยวชาญและความ คงทนของความรู้ที่ได้จากงานที่ปฏิบัติ ทักษะระดับที่สามนี้ทำให้เกิดกระบวนการทางสมองที่จำเป็นในการสร้างความเข้าใจที่ลึกลงไปในเนื้อหาความรู้ที่เรียน กระตุ้นการใช้กลยุทธ์การให้เหตุผลที่มีคุณภาพสูง เพิ่มความเชี่ยวชาญและความคงทนของเนื้อหาความรู้ที่เรียน เนื่องจากความมุ่งหมายกลุ่มการ ต้องการเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิก ทักษะเหล่านี้มุ่งเป้าหมายเฉพาะไปที่การให้รูปแบบวิธีการใน ระเบียบความรู้ที่เรียน ทักษะระดับสร้างระบบสามารถดำเนินไปได้ในขณะที่สมาชิกกลุ่มรับบทน กัน บทบาทที่สัมพันธ์กับทักษะเหล่านี้คือ
             ผู้สรุปย่อ เป็นผู้กล่าวสรุปสิ่งที่อ่าน หรือภิปรายให้สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้โดยไม่อาศัยข่ามอง หรือสื่อการเรียนต้นฉบับ ควรสรุป ข้อเท็จจริงและความคิดสำคัญทั้งหมดไว้ในการสรุปย่อด้วย สมาชิกทุกคน ในกลุ่มต้องสรุปย่อจากความจำบ่อย ๆ เพื่อเพิ่มการเรียนรู้
             ผู้แก้ไข เป็นผู้ระวังเรื่องความถูกต้อง โดยคอยแก้ไขข้อสรุปของสมาชิก แล้วเพิ่มเติมข้อสนเทศที่ สำคัญซึ่งไม่ปรากฏในข้อสรุป
             ผู้ประสานความร่วมมือ เป็นผู้ประสานความร่วมมือโดยขอให้สมาชิกอื่น ๆ เชื่อมโยงความรู้ กำลังเรียนอยู่กับความรู้ที่เรียนไปแล้ว และกับสิ่งอื่น ๆ ที่สมาชิกเหล่านั้นรู้
             ผู้ช่วยจำ เป็นผู้หาวิธีการที่ดีในการจดจำข้อเท็จจริงและความคิดสำคัญ โดยการใช้ภาพวาด สร้าง มโนภาพ หรือวิธีจำอื่น ๆ แล้วนำมาร่วมหารือในกลุ่ม
             ผู้ตรวจสอบความเข้าใจ เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มอธิบายเป็นขั้นเป็นตอนถึงเหตุผลที่ใช้ในการ ทำงานให้สำเร็จ ซึ่งจะทำให้การให้เหตุผลของนักเรียนชัดแจ้ง และเปิดกว้างต่อการปรับแก้และอภิปราย
             ผู้ขอความช่วยเหลือ เป็น ผู้เลือกคนที่จะคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนในกลุ่ม รวมทั้งเป็นผู้ตั้ง คำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น และทำอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะช่วยเหลือสำเร็จ
             ผู้อธิบาย เป็นผู้บรรยายวิธีการทำงานให้สำเร็จ (โดยไม่ให้คำตอบ) ให้ข้อมูลย้อนกลับที่เจาะจง เกี่ยวกับงานนักเรียนอื่น และลงท้ายด้วยการขอให้นักเรียนอื่นบรรยายหรือสาธิตวิธีการทำงานห้สำเร็จ
             ผู้ให้ความสะดวกในการอธิบาย เป็นผู้ขอให้สมาชิกกลุ่มวางแผนที่จะสอนเนื้อหาความ นักเรียนคนอื่นโดยละเอียด การวางแผนวิธีการถ่ายทอดความรู้ที่ดีที่สุด มีผลต่อคุณภาพของกลยุทธ เหตุผลและความคงทนของความรู้
          4. ระดับสร้างเสริม (fermenting) ทักษะที่จำเป็นต่อการส่งเสริมการรับรู้เหตุผล ความขัดแย้งด้านการรู้คิด(อภิปัญญา) การค้นหาความรู้เพิ่มเติม และการสื่อสารกันด้วยหลักเหตุผล สรุปผล ทักษะแห่งความร่วมมือระดับที่สี ที่ทำให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมในการโต้แย่งทางวิชาการได้ ประเด็นสำคัญที่สุดบางประการของการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อ สมาชิกกลุ่มท้าทายการสรุปผล และการ ของกันและกันอย่างคล่องแคล่ว การได้แยงทางวิชาการทำให้สมาชิกกลุ่ม “เจาะลึก” ในเนื้อหาความรู้ที่เรียน ระดมหลักเหตุผลในข้อสรุป คิดแปลกแยกเกี่ยวกับปัญหา หาข้อสนเทศเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนจุดยืนของตน และอภิปรายโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับทางเลือกของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับ การโต้แย้งทางวิชาการ ได้แก่
             วิจารณ์ความคิด โดยไม่วิจารณ์คน
             แบ่งแยกความแตกต่าง เมื่อมีความเห็นขัดแย้งขึ้นในกลุ่มการเรียนรู้
             บูรณาการความคิดหลายความคิดให้เป็นจุดยืนเดียว
             ขอคำชี้แจงในเรื่องการสรุปผลผลหรือคำตอบของสมาชิก
             ขยายความข้อสรุปหรือคำตอบของสมาชิกอื่น โดยเพิ่มเติมข้อมูลหรือแสดงนัยที่นอกเหนือ
ออกไป
          ตรวจสอบโดยการตั้งคำถามซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกลงไป หรือการวิเคราะห์ ( “มันจะได้ผล หรือไม่ในสถานการณ์นี้” “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้คุณเชื่อ....")
             ให้คำตอบลึกลงไปอีกโดยเจาะลึกลงไปนอกเหนือคำตอบหรือข้อสรุปแรก ให้คำตอบที่มีความ เป็นไปได้หลาย ๆ คำตอบให้เลือก
             ทดสอบความจริงโดยการตรวจสอบงานของกลุ่มในเรื่องวิธีการทำงาน เวลาที่มี และปัญหาที่ กลุ่มเผชิญ
             ทักษะความร่วมมือช่วยให้สมาชิกกลุ่มมีแรงจูงใจในการให้คำตอบที่ลึกมีคุณภาพสูง นอกเหนือจากคำตอบที่ตอบออกมาอย่างฉับพลัน โดยการกระตุ้นการคิดและความอยากรู้อยากเห็นทางพุทธิ ปัญญาของสมาชิกกลุ่ม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น